สปอยล์ If You Wish Upon Me ตอนที่ 4
พโยกยูแทต้องการปกปิดข่าวฉาวและกู้ภาพลักษณ์ของตัวเอง เขาจึงไปหาเซฮีที่โรงพยาบาลเพื่อให้เธอทำการแสดงละครเวที เซฮีต้องการจัดการแสดงที่โรงพยาบาลและจะมีเจ้าหน้าที่อีกเจ็ดคนร่วมแสดงด้วยในบทละครเรื่อง “ปาฏิหาริย์แห่งรัก” ที่เธอเขียน โดยให้กยอรเยและยอนจูแสดงเป็นคู่รักประกอบฉาก คังแทชิกทำหน้าที่เป็นผู้กำกับการแสดง ทุกคนจึงตั้งใจซ้อมบทอย่างจริงจังเพื่อเซฮี
ป้ายอมซุนจาต้องการหาคำตอบเรื่องอาหารที่คิดว่ากยอรเยจะชอบและทำให้เขากิน แม้กยอรเยจะบอกว่าไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้องแต่เขาก็เริ่มกินอาหารที่ท่านทำให้และช่วยทำกับข้าวเป็นการตอบแทน กยอรเยป้อนอาหารให้ยอนจูชิมและเช็ดปากให้เธอ เธอเริ่มหวั่นไหวกับความรู้สึกของตัวเอง
ระหว่างการซ้อมการแสดง หมอยังชีฮุนได้เห็นความสนิทสนมของซอนจูและกยอรเยมากขึ้น เขาจึงถึงถามความคิดเห็นของเธอ ซึ่งเธอบอกพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้าว่ากยอรเยเป็นคนที่ใส่ใจคนอื่นและพึ่งพาได้แม้จะขี้บ่นก็ตาม แต่ทุกคนในทีมก็เอ็นดูเขา
คังแทชิกรู้ดีว่าหมอยังไม่เห็นด้วยกับการทำงานของทีมจีนี่ เพราะตั้งแต่หัวหน้ายุนจากไป หมอยังก็ไม่เคยเข้าไปที่ห้องพักของทีมอีกเลย คังแทชิกอยากตอบแทนและแบ่งปันความช่วยเหลือให้แก่ผู้ป่วยทุกคนเพื่อเป็นการขอบคุณที่ครั้งหนึ่งโรงพยาบาลแห่งนี้รับเขาไว้เป็นคนไข้และได้อยู่ห้องพิเศษโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายเพราะเขาเป็นผู้ป่วยไร้บ้านที่ไม่มีเงิน
กยอรเยยังคงสงสัยสิ่งที่อยู่ในห้อง403 ที่คังแทชิกเคยห้ามไม่ให้เข้าไปเพราะมีผีอยู่ในห้องนั้น ยอนจูจึงบอกว่าห้องนั้นเป็นห้องเก็บอุปกรณ์การแพทย์ที่สำคัญและถูกล็อคไว้
พโยกยูแทรู้สึกหวั่นไหวและใจเต้นแรงขณะร่วมซ้อมบทกับเซฮีและสัมผัสมือของเธอ โดยเฉพาะเมื่อเธอมอบถุงมือให้เขาเป็นของตอบแทนสำหรับฤดูหนาวและฝากให้ช่วยดูบทละครเรื่องนี้ต่อไป เพราะเวลาของเธอเหลือไม่มากนัก พโยกยูแทคิดว่าตัวเองกำลังตกหลุมรักเธอทั้งที่รู้ว่าจุดจบจะเป็นอย่างไร คนขับรถของเขาแนะนำว่าให้แสดงออกไปเลยโดยไม่ต้องคิดถึงจุดจบ เพราะบางทีความรักอาจจะทำให้เกิดปาฏิหาริย์ก็ได้
ทุกคนช่วยกันเตรียมจัดฉากและสถานที่สำหรับการแสดง กยอรเยรู้สึกอบอุ่นและมีความสุขท่ามกลางเสียงหัวเราะของทุกคนขณะพักกินข้าวด้วยกัน เขาได้รู้เหตุผลที่ยอนจูต้องออกกำลังเพื่อให้แข็งแรงอยู่เสมอก็เพราะว่าแม่ของเธอป่วยเป็นมะเร็งและในตอนนั้นหิมะตกหนัก แต่เธอไม่มีเรี่ยวแรงที่จะแบกแม่เพื่อไปโรงพยาบาลได้ หลังจากนั้นเธอจึงตั้งใจออกกำลังกายเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยคนอื่นทั้งด้านร่างกายและจิตใจ รอยสักที่ต้นแขนของเธอเป็นภาษาละตินซึ่งมีความหมายว่า ความตายไม่ใช่จุดจบ
เซฮีอาการทรุดหนัก แต่หมอยังไม่สามารถให้ยาระงับปวดได้เพราะจะกดดันร่างกายมากเกินไป แต่เซฮีขอร้องว่าเธอต้องการเลือกช่วงสุดท้ายของตัวเอง ต่อให้เธอเป็นลมหรือตายบนเวทีก็ตาม ยอนจูขอร้องหมอยังเพราะเซฮีตั้งใจกับการแสดงครั้งนี้มาก แต่หมอยังกลับต่อว่าเธอที่เข้าข้างคนไข้และออกคำสั่งว่าห้ามทำอะไรโดยไม่ขออนุญาตจากเขาก่อน กยอรเยไม่พอใจหมอยังและอ้างว่าทีมจีนี่ต้องการทำความปราถนาของผู้ป่วยระยะสุดท้ายให้เป็นจริง หมอยังจึงไล่กยอรเยออกไปจากโรงพยาบาล