สปอยล์ Lovers of the Red Sky ตอนที่ 6
จิตรกรหมวกฟางชิมแดยูและชอนกีได้คะแนนสูงสุดเท่ากันในรอบสุดท้าย พวกเขาจึงต้องตอบคำถามขององค์ชายยังมยองเพื่อเป็นการตัดสินเลือกผู้ชนะ
ชอนกีให้เหตุผลว่าโขดหินสีดำในภาพวาดของนางคือสิ่งแรกที่นางมองเห็นด้วยตาตัวเอง เพราะในวัยเด็กนางเคยตาบอด จึงเห็นรูปทรงและสีสันผ่านเสียง ธารน้ำไหลคือสีขาว เสียงฝีเท้าบนถนนขรุขระคือสีเหลือง สายลมพัดใบไม้คือสีฟ้า อยู่มาปีหนึ่งนางกลับมามองเห็นอีกครั้งซึ่งเป็นวันที่ฝนตกหลังจากที่เกิดภัยแล้งมานาน เขาอินวังที่นางมองเห็นนั้นเป็นสีดำหลากหลายเฉดสี และเพราะเขาอินวังประกอบด้วยหินเป็นส่วนใหญ่และชุ่มฝน หินในภาพวาดของนางจึงเป็นสีดำที่เปรียบเสมือนโขดหินแรกที่นางมองเห็นและสัมผัสได้ถึงความชุ่มโชก ทุกคนในที่นั้นเมื่อได้ฟังเรื่องของนางแล้ว ต่างก็มีสีหน้าเศร้าสะเทือนใจ รวมทั้ฮารัมและงองค์ชายยังมยองด้วย ส่วนรูปต้นไม้ในภาพวาดของชอนกีหมายถึงความคิดถึงที่นางมีต่อเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่เคยไปเที่ยวเล่นที่สวนดอกท้อด้วยกัน ถึงแม้ว่านางจะไม่เคยเห็นหน้าเขาในตอนนั้นก็ตาม
ผลการตัดสินออกมาเท่ากันอีกครั้ง องค์ชายยังมยองจึงให้ชิมแดยูและชอนกีได้ผ่านเข้ารอบสามอันดับที่หนึ่งทั้งคู่ ในคืนนั้นองค์ชายจึงมีรับสั่งให้จิตรกรที่ผ่านเข้ารอบทุกคนพักผ่อนกันตามสบายเพื่อการแข่งขันรอบที่สามในวันรุ่งขึ้น
องค์ชายยังมยองเพิ่งรู้ความจริงจากฮันกยอนว่าพ่อของชอนกีคือฮงอึนโอจิตรกรผู้เก่งกาจและเคยสังกัดโคฮวาวอน เขาคือคนวาดภาพเหมือนของพระเจ้ายองจงซึ่งถูกไฟไหม้เมื่อสิบเก้าปีก่อน ฮันกยอนแน่ใจว่าชอนกีคือจิตรกรที่มีญาณพิเศษซึ่งองค์ชายทรงปรารถนาจะให้มาบูรณะภาพเหมือนของเสด็จปู่ องค์ยังมยองทรงมองภาพวาดของชอนกีและมีคำถามในใจว่านางเป็นใครกันแน่
ในงานเลี้ยงคืนนั้นองค์ชายยังมยองทรงแนะนำชอนกีว่านอกจากทักษะแล้ว นางควรเป็นจิตรกรที่วาดภาพด้วยหัวใจและเชื่อมั่นในตัวเองเพราะการปลอมแปลงภาพวาดจะทำให้งานประลองในครั้งนี้เสื่อมเสียชื่อเสียง ชอนกีให้เหตุผลว่านางใช้ทักษะการวาดภาพเลียนแบบเพื่อการหาเลี้ยงชีพซึ่งไม่คิดว่าเป็นความผิดอะไร องค์ชายยังมยองรู้สึกผิดหวังในตัวนาง
หลังจากนั้นอาจารย์ชเววอนโฮขอให้ชอนกียอมแพ้ในการประลองวันพรุ่งนี้ เพราะเขาไม่ต้องการให้นางมีชีวิตเหมือนพ่อ ซึ่งนางเองก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพ่อของนางเพราะไม่เคยมีใครเล่าให้ฟัง ชอนกีปฏิเสธคำขอร้องของชเววอนโฮและไปใช้ความคิดอยู่คนเดียวในคอกม้า ทั้งคำพูดขององค์ชายยังมยองและอาจารย์ชเววอนโฮ ทำให้นางไม่อาจหาคำตอบให้ตัวเองได้ว่าควรทำเช่นไร ในขณะนั้นเองโซมาม้าแสนรู้ของฮารัมก็เดินมาอยู่เป็นเพื่อนนาง
องค์ชายจูฮยางทรงตรัสกับองค์ชายยังมยองตามตรงว่า ทรงปรารถนาให้องค์ชายยังมยองมาเข้าพวกเพราะพระองค์ต้องการเป็นองค์รัชทายาทเสียเอง เนื่องจากอาการประชวรขององค์รัชทายาทองค์ปัจจุบันที่ไม่มีวันรักษาหาย แต่องค์ชายยังมยองปฏิเสธและไม่ต้องการพูดถึงเรื่องนี้อีก ทำให้องค์ชายจูฮยางไม่พอพระทัย หัวหน้าองครักษ์ที่แอบฟังการสนทนาขององค์ชายทั้งสองได้ส่งสาส์นลับไปบอกมูยอง หัวหน้าองค์รักษ์ผู้นี้คือคนที่รับราชโองการจากพระเจ้าซองโจให้ไปสังหารพ่อแม่ของฮารัม ฮารัมคิดว่าชีวิตของหัวหน้าองครักษ์กำลังอยู่บนเส้นด้ายจึงวางแผนให้มูยองนำสาส์นนี้ไปถวายองค์ชายจูฮยาง
ฮารัมได้ยินสหายสองคนของชอนกีพูดถึงนางด้วยความเป็นห่วง เขาจึงไปหานางที่คอกม้าและได้ยินนางกำลังคุยกับม้าของเขาว่า หากนางตัดสินใจไม่ลงแข่ง นางก็จะไม่ได้ยาไปให้ท่านพ่อที่กำลังป่วยหนัก ฮารัมจึงบอกว่านางควรทำตามที่ใจปรารถนา ไม่ควรยอมแพ้หรือหวั่นไหวกับคำพูดของคนอื่น ชอนกีบอกว่านางมาแข่งขันครั้งนี้เพราะต้องการเงินไปซื้อยาให้พ่อและไม่อยากเป็นภาระให้อาจารย์หรือคนที่สมาคมแบคยูที่รับนางกับพ่อมาอยู่ด้วย แต่อาจารย์อยากให้นางยอมแพ้และองค์ชายยังมยองก็ทรงอับอายในตัวนาง นางจึงไม่รู้ว่าจะทำเช่นไร
ฮารัมตอบนางด้วยคำพูดในวัยเด็กที่เคยบอกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่เหนือการควบคุมของมนุษย์ ชอนกีนึกออกได้ทันทีว่าฮารัมจะพูดอะไรต่อไป ทั้งสองออกไปขี่ม้าด้วยกันหละหยุดอยู่ที่ริมสระน้ำแห่งหนึ่ง ซึ่งพวกเขาเคยมานั่งเล่นด้วยกัน ฮารัมบอกว่าเขาไม่รู้ว่าที่ไหน แต่ม้าของเขาชอบมาพักที่นี่
ชอนกีบอกกับตัวเองว่าดีใจที่ได้เจอเขาอีกครั้งและคิดถึงเขาเหลือเกิน นางเล่าว่ามีความทรงจำกับเด็กผู้ชายคนหนึ่งซึ่งเคยมานั่งที่นี่ด้วยกันเมื่อสิบเก้าปีก่อน เหตุผลที่นางลืมเด็กคนนั้นไม่ได้ก็อาจเป็นเพราะกลุ่มดาวหมีใหญ่บนท้องฟ้าที่ตอนนี้มีจำนวนมากมายเหลือเกิน พวกเขาโต้ตอบกันด้วยทุกคำพูดในวัยเด็กอีกครั้ง ฮารัมและชอนกีต่างก็รู้ตัวตนของกันและกันแล้ว ชอนกีเอ่ยชื่อฮารัมและจับมือของเขามาสัมผัสที่ใบหน้าของนาง จากนั้นฮารัมก็โน้มตัวไปจูบนาง รูปผีเสื้อที่ต้นคอของฮารัมเกิดปฏิกิริยาทันทีที่พวกเขาสัมผัสร่างกายกัน ทำให้ฮารัมเกิดอาการปวดหัวอย่างรุนแรงจนหมดสติไป เขาเห็นภาพตัวเองใต้น้ำที่พญามารกำลังจะสิงร่างของเขา
เมื่อฟื้นขึ้นมาเขาจึงบอกกับชอนกีว่าเขาไม่ใช่เด็กผู้ชายคนนั้นที่นางกำลังตามหา และนางควรลืมเขาไปได้แล้วเพราะเป็นทางเดียวที่นางจะมีชีวิตสงบสุข ฮารัมรู้ดีว่าชอนกีไม่เชื่อจึงพูดทุกอย่างเพื่อให้นางลืมเขาและบอกว่าเด็กคนนั้นก็คงลืมนางไปแล้วเช่นกัน นางไม่ควรทำอะไรทั้งสิ้นเพราะนั่นเป็นหนทางเดียวที่นางจะไม่ต้องเจ็บตัว ฮารัมบอกตัวเองว่าเขารอดตายจากขุมนรกมาได้และเพื่อให้ชอนกีอยู่ห่างจากขุมนรกนั่นไปตลอดกาล เขาจึงจำเป็นต้องล่ามความทรงจำนั้นไว้
ในวันประลองรอบที่สามจิตรกรชิมแดยูเลือกชอนกีเป็นคู่แข่งขัน โดยมีโจทย์เป็นภาพสัตว์และให้เวลาเพียงหนึ่งชั่วโมง ชอนกียังบาดเจ็บที่มือจากการช่วยฮารัมไปรักษาตัวที่เรือนย้อม นางมองไปที่เขาและบอกตัวเองว่าจะไม่มีวันลืมเขาเด็ดขาดเปรียบเสมือนลายเส้นที่วาดลงไปแล้วก็มิอาจลบเลือนได้ ฮารัมขอตัวไปห้องน้ำและแกล้งเดินชนหัวหน้าองครักษ์ ทำให้กระดาษที่เขาซ่อนไว้นั้นหล่นลงที่พื้น มันซูเก็บกระดาษเหล่านั้นคืนเขา องค์ชายจูฮยางสงสัยว่านั่นคือสาส์นเปล่าที่พระองค์ทรงได้รับเมื่อคืนนี้ ขณะที่ฮารัมคิดว่าถึงเวลาที่องค์ชายจูฮยางจะลงมือได้แล้ว
การประเมินภาพวาดสุดท้ายในรอบที่สามนี้ ชอนกีไม่ได้วาดภาพม้าตามหัวข้อที่ให้ไว้ มีแต่เพียงภาพผีเสื้อที่โบยบินอยู่ในวังวนกลิ่นหอมของมวลดอกไม้หลังจากที่ฝูงม้าวิ่งฉิวผ่านไป องค์ชายยังมยองทรงพอพระทัยกับภาพนี้และยกย่องให้เป็นผลงานชิ้นเอก ชอนกีคือผู้ชนะเลิศในการแข่งขันครั้งนี้ ฮารัมนั่งฟังและยิ้มด้วยความภาคภูมิใจ
ภาพของจิตรกรคนอื่นๆ ถูกนำออกประมูลโดยการแลกเปลี่ยนเป็นข้าวสาร แต่ภาพของชอนกีไม่มีใครกล้าประมูลจนกระทั่งองค์ชายยังมยองเป็นผู้เริ่มเปิดการประมูล และในที่สุดภาพวาดของนางก็ได้รับการประมูลสูงสุดจากฮารัมด้วยข้าวสารจำนวน 300 กระสอบ
เมื่อจบการประมูลแล้ว องค์ชายยังมยองทรงกล่าวปิดงานและชมเชยชอนกีว่าเป็นจิตรกรที่โดดเด่น ชอนกีทูลขอยาชองชิมวอนที่อยากได้ในฐานะผู้ชนะเพื่อนำไปให้พ่อที่กำลังป่วยหนัก องค์ชายยังมยองทรงเห็นใจและเพิ่งเข้าใจเดี๋ยวนี้เองถึงสาเหตุที่ชอนกีวาดภาพเลียนแบบเพื่อหาเลี้ยงชีพและมาประลองวาดภาพในครั้งนี้เพื่อพ่อ พระองค์จึงทรงรับปากว่าจะหายาชนิดนี้มาให้นาง
ฮงอึนโอเดินถือพู่กันอย่างไร้สติไปที่แมจุกฮอน เมื่อเห็นองค์ชายจูฮยางและพญามารในร่างของพระองค์ เขาจึงตะโกนด้วยความตกใจกลัวให้ท่านฮาซองจินหนีไป ฮารัมเมื่อได้ยินชื่อพ่อตัวเองจึงหยุดชะงัก ในขณะที่คนขององค์ชายจูฮยางเข้าไปจับฮงอึนโอซึ่งยังคงพร่ำตะโกนว่าจะเป็นคนจับพญามารเองและห้ามทุกคนสบตากับมันเด็ดขาด ชอนกีรีบคุกเข่าขอประทานอภัยจากองค์ชายจูฮยาง เนื่องจากการกระทำของพ่อที่ไม่สมประกอบ